
กบแอฟริกันบูลฟรอก สัตว์เลี้ยงแปลกใหม่ สายพันธุ์แอฟริกา ด้วยรูปร่างหน้าตาดูน่าเกรงขาม เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวชวนหลงใหล ทำให้หลายคนสนใจเลี้ยง เพื่อความสวยงาม เราแนะนำให้ทำความเข้าใจ ของกบสายพันธุ์นี้ ทั้งการกินอาหาร การเอาชีวิตรอด รวมถึงวิธีการเลี้ยง ให้เหมือนอยู่ในธรรมชาติ
กบแอฟริกันบูลฟรอก (African Bullfrog) หรือมักถูกเรียกว่า “กบอึ่งยักษ์ กบขุดแอฟริกาใต้” เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ประเภทกบ ในวงศ์ของ Pyxicephalidae หลายคนจึงเรียกกันว่า กบพิกซี่ สามารถพบได้มากในหลายประเทศ ของทวีปแอฟริกาใต้ เช่น ประเทศแองโกลา ประเทศบอตสวานา ประเทศเคนยา
รวมถึงสายพันธุ์แยกย่อย แถวชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก โดยมีแหล่งอาศัยธรรมชาติ อยู่ในพื้นที่แห้ง ทุ่งหญ้าสะวันนา บริเวณชื้นกึ่งแห้ง ทะเลสาบ หนองน้ำจืด และพื้นที่เขตร้อน ซึ่งจัดเป็นกบที่มีขนาดใหญ่ของโลก รองลงมาจาก กบโกไลแอธ คางคกหัวกะโหลก กบทะเลสาบ กบแม่น้ำบลีธ และ คางคกอ้อย [1]
กบสายพันธุ์ขนาดใหญ่ ลักษณะตัวอ้วนกลม ผิวหนังเรียบ บางส่วนขรุขระ มีสีน้ำตาลอมเขียวมะกอก มีลวดลายเป็นจุด และบริเวณท้องข้าง เป็นสีน้ำตาล ใต้ท้องเป็นสีเหลืองครีม ในส่วนของหัว เป็นสีเขียวผสมน้ำตาล และขาหลังเป็นลายขวาง มีสีน้ำตาลดำ หน้าตาดูเหมือนดุร้าย อายุขัยยาวนาน 20 – 30 ปี
โดยตัวผู้มีขนาดแตกต่าง จากตัวเมียชัดเจน ซึ่งตัวผู้มีน้ำหนัก 1.4 – 2 กิโลกรัม สามารถมีความยาวได้ 24.5 เซนติเมตร ในขณะที่ตัวเมีย มีขนาดเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น (ผิดปกติของกบทั่วไป เพราะตัวเมียต้องตัวใหญ่กว่า) ทั้งนี้ตัวผู้ยังมีแก้วหูขนาดใหญ่ ลำตัวสีเข้ม ส่วนตัวเมียมีแก้วหูขนาดเล็ก และสีผิวสว่างสดใสกว่า [2]
แอฟริกันบูลฟรอก กบรักสันโดษ ชอบอยู่บนบก เป็นสัตว์กินเนื้อ ฟันแหลมคม มีนิสัยกินตะกละตะกลามอย่างมาก เช่นเดียวกับ กบฮอร์นฟรอก สามารถกินสัตว์ขนาดเล็ก เข้าปากได้อย่างสบาย รวมถึงการกินพวกเดียวกัน ในช่วงของการเป็นลูกอ๊อด อย่างอาหารมื้อแรกเกิด ก็คือไข่ตัวอื่น ในครอกเดียวกันนั่นเอง
พฤติกรรมการเอาตัวรอด สำหรับช่วงหน้าแล้ง โดยการจำศีลฝังตัวอยู่ใต้ดิน เพื่อเก็บตัวจากความแห้งแล้ง ซึ่งจะเป็นการขุดดิน ด้วยฝ่าเท้าด้านหลัง ให้จมูกโผล่มาเหนือดินเล็กน้อย เพื่อดักจับอาหาร และลอกคราบ ปกคลุมร่างกายคล้ายรังไหม โดยใช้เวลาประมาณ 9 – 10 เดือน และออกศีล 2 – 3 เดือน ในช่วงหน้าฝน
แนวทางการเลี้ยงกบ สำหรับมือใหม่ เลี้ยงง่ายด้วยอาหารมีชีวิต แน่นอนว่าเป็น เจ้ากบจอมตะกละ เจ้าของจึงต้องควบคุมปริมาณอาหาร อย่างเหมาะสม ทั้งยังมีแหล่งอาศัย ตามนิสัยและพฤติกรรมในธรรมชาติ อย่างการจำศีลก็เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงอุณหภูมิและความชื้น ส่งผลให้มีสุขภาพดีตลอดอายุขัย
ที่พักอาศัยของกบ ควรเป็นกล่องปิดเจาะรู โดยมีสภาพแวดล้อม เลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด การเข้าถึงแหล่งน้ำ เพราะชอบว่ายน้ำ และพื้นที่สำหรับซ่อนตัว เป็นถ้ำมืดและเย็น มีดินสำหรับการขุด ภายในกล่องควรประกอบด้วย ฟองน้ำ หญ้ามอส หรือพืชเปียกชื้น ซึ่งสามารถเติบโตได้ดีบนบก
อุณหภูมิและความชื้นอากาศ ควรให้กบอยู่ในอุณหภูมิเหมาะสม ประมาณ 23 – 29 องศาเซลเซียส มีแสงสว่างจากธรรมชาติ ส่องถึงเพียงพอ รวมถึงการใช้แสง UVB ควบคุมให้มีความอบอุ่น และปริมาณความชื้น 60 – 70% เป็นพื้นที่ไม่ร้อน หรือไม่หนาวเย็นจนเกินไป
อาหารแอฟริกันบูลฟรอก เน้นกินเนื้อเป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ขนาดเล็ก อย่างเช่น แมลง ปลา หนอนแดง ลูกหนูแช่แข็ง ลูกงู จิ้งหรีด ปลวก มด แมลงวัน เป็นต้น สำหรับลูกกบ ควรให้อาหารทุกวัน วันละ 1 ครั้ง และกบตัวโตเต็มวัย ทุก ๆ 2 – 3 วัน หรือ 1 ครั้ง / สัปดาห์
การซื้อขายกบ สายพันธุ์ต่างประเทศ จะแตกต่างจากขนาดของตัว และช่วงอายุ โดยส่วนมากเริ่มต้น 350 – 700 บาท จากฟาร์มเพาะเลี้ยงอย่างมีคุณภาพ สามารถแบ่งราคากบ ตามรายละเอียด ดังนี้
ที่มา: คู่มือวิธีเลี้ยงกบ | สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ เลี้ยงอย่างไร พันธุ์ไหนดี [3]
กบแอฟริกันบูลฟรอก กบยักษ์แอฟริกาใต้ สัตว์เลี้ยงสวยงาม เหมาะกับคนชอบสัตว์เลี้ยงแปลกใหม่ ถึงแม้ว่าหน้าตาอาจดูนิ่งและดุร้าย แต่นิสัยค่อนข้างรักสันโดษ น่ารักแตกต่างกัน หากพร้อมที่จะเลี้ยง ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ของกบสายพันธุ์ต่างประเทศ เพื่อการอยู่ร่วมกับเจ้าของ ได้อย่างมีความสุขนานกว่า 30 ปี