
นกเงือก นกโบราณขนาดใหญ่ ที่มีชีวิตอยู่บนโลก มานานหลายล้านปี หนึ่งในสัตว์ป่ารักษาธรรมชาติ สัญลักษณ์แห่งรักแท้ ที่ถูกคุกคามอย่างหนัก โดยการล่าของมนุษย์ เป็นอันดับต้น ๆ พาเปิดประวัติความเป็นมานกเงือก ความสำคัญ อัตราการสูญพันธุ์ และมูลค่าซื้อขายในตลาดมืด
นกเงือก (Hornbill) นกขนาดใหญ่ อยู่ภายใต้วงศ์ Bucerotidae เป็นนกป่า ที่มีหลักฐานบันทึกฟอสซิล เชื่อกันว่ากำเนิดมานานแล้วกว่า 45 – 50 ล้านปี สามารถพบเห็นได้ทั่วโลก จำนวน 55 ชนิด และ 14 สกุล โดยแพร่กระจายสายพันธุ์ อยู่ในป่าเขตร้อน ของทวีปแอฟริกา และทวีปเอเชีย [1]
สำหรับนกเงือกในไทย มีด้วยกัน 13 ชนิด อย่างเช่น นกเงือกหัวแรด นกเงือกดำ นกเงือกสีน้ำตาล นกเงือกกรามช้าง เป็นต้น จัดว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง สัตว์หายากใกล้สูญพันธุ์ และมีการอนุรักษ์มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2521 โดยกำหนดให้วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ในทุกปี คือ “วันรักนกเงือก”
นกเงือกเป็นสัตว์ปีก มีหลายขนาด สีสันหลากหลาย โดยนกเงือกที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ นกเงือกดำแคระ มีน้ำหนักตัว 99 กรัม ความยาว 32 cm. ส่วนนกเงือกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ นกเงือกดินใต้ และ นกเงือกหัวขวาน น้ำหนักเฉลี่ย 3.77 – 6.3 กิโลกรัม ความกว้างของปีก 180 cm. และความยาว 130 – 150 cm.
ลักษณะโดดเด่น นกเงือก มีจะงอยปากโค้ง ปลายแหลม เป็นสีสดใส ส่วนมากเป็นสีส้มเหลือง ค่อนข้างมีขนาดใหญ่และหนัก ช่วยในการต่อสู้ จับเหยื่อ ตัดแต่งขน รวมถึงการสร้างรัง ส่วนของลำตัว จะมีขนสีดำ เทา น้ำตาล และขาว ดวงตากลมโตสีแดง ทำหน้าที่ในการช่วยบังแดด
พฤติกรรมการใช้ชีวิต มีความต้องการอยู่ร่วมกันเป็นคู่ โดยการจับคู่กันแบบ ผัวเดียวเมียเดียว หรืออยู่กันเป็นครอบครัวเล็ก ๆ โดยจะออกหากิน ในช่วงเวลากลางคืน รวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ ในช่วงนอกฤดูผสมพันธุ์ อาจเป็นสถานที่บางแห่ง ในธรรมชาติ ซึ่งอาจพบเห็นได้มากกว่า 2,400 ตัว
สำหรับความสัมพันธ์ กับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น นกเงือกจะเลือกความสัมพันธ์ แบบพึ่งพาอาศัยกัน อย่างเช่นกับ พังพอนแคระ โดยการหาอาหารร่วมกัน และเตือนภัยอันตรายแก่กัน หากรับรู้ได้ว่ามีนกล่าเหยื่อ หรือสัตว์นักล่าอยู่ภายในบริเวณ แม้กระทั่ง การติดตามชีวิตสัตว์อื่น อย่างเช่น ลิง เพื่อกินแมลงที่ลิงไล่มา
นกปากใหญ่สีสดใส ที่หลายคนสับสนกันอยู่ไม่น้อย ระหว่างนกเงือก กับ นกทูแคน เนื่องจากว่านกทั้ง 2 ชนิด มีความคล้ายกันอย่างมาก โดยนกทูแคน เป็นนกเลี้ยงสวยงาม จะงอยปากหลายสี มีขนาดใหญ่และเบา และไม่พบในประเทศไทย ส่วนนกเงือกเป็น สัตว์ปีกหายาก จะงอยปากใหญ่และหนัก พบได้ในแถบเอเชีย
การมีคู่ครองของนกเงือก ถือว่าเป็น “สัญลักษณ์แห่งรักแท้” ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ เพราะเพศผู้กับเพศเมีย ต้องช่วยกันสร้างรัง ดูแลลูก ตลอดระยะเวลา 6 – 7 เดือน เพื่อให้ลูกได้เติบโต อย่างสมบูรณ์แข็งแรง พร้อมที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง รวมถึงเพศผู้ ต้องดูแลเอาใจใส่เพศเมีย หาอาหารให้ตลอดเวลาอีกด้วย
นอกจากนั้น พฤติกรรมประจำวัน ยังมีความสำคัญมาก ต่อระบบนิเวศ เนื่องจากว่านกเงือก เป็นผู้กระจายสายพันธุ์ของพืชผลไม้ มากกว่า 300 ชนิด เพราะว่าเป็นนก กินผลไม้สุกเป็นหลัก ด้วยการกินเมล็ด และถ่ายลงสู่พื้นดิน จึงส่งผลให้เมล็ดเหล่านั้น มีการเจริญเติบโต งอกงามไปทั่วผืนป่า
ดังนั้น ป่าที่มีนกเงือกอาศัยอยู่ ถูกจัดว่าเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ แต่ทว่าในปัจจุบัน เกิดการคุกคามจากมนุษย์ ด้วยการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงลักลอบค้าสัตว์ป่า ทำเครื่องประดับบารมี ทำให้ผืนป่าน้อยลง นกเงือกเสี่ยงสูญพันธุ์ ซึ่งยิ่งถ้าเป็นช่วงผสมพันธุ์ หากพ่อนกเงือกถูกล่า จะทำให้แม่กับลูกนก อดอาหารตายยกรังเช่นกัน [2]
นกเงือกในประเทศไทย เป็นนิเวศสมบูรณ์ของภูมิภาค และความสมดุลทางธรรมชาติ โดยครอบคลุมอยู่ใน 3 พื้นที่ เพื่อการศึกษาวิจัย คือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และ อุทยานแห่งชาติบูโด – สุไหงปาดี โดยนกเงือกมีสถานภาพ ดังต่อไปนี้
จากการสำรวจ ประชากรนกเงือก เป็นที่แน่นอนว่า “นกชนหิน” คือนกเงือกที่ถูกล่าบ่อยที่สุด เพื่อเอาโหนก ที่อยู่บนจะงอยปาก นำไปแกะสลัก เป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ และเครื่องประดับราคาแพง โดยมีมูลค่าในตลาดมืด ประมาณ 10,000 บาท / ตัว และลักลอบค้า ลูกนกเงือกจากรัง บนเว็บออนไลน์
สำหรับในต่างประเทศ (จีนและสิงคโปร์) ราคาของนกชนหิน อาจสูงประมาณ 30,000 บาท / ตัว โดยมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก กล่าวว่า ลูกนกเงือก จำนวนกว่า 4,000 ตัว ที่สำรวจพบในปี พ.ศ. 2559 จะสามารถปลูกต้นไม้ได้ ประมาณ 72,000 ตัน และการที่นกเงือกถูกล่า หายไปจากผืนป่า จึงทำให้พื้นที่ป่าหายไปด้วย [3]
นกเงือก นกสวยงามและหายาก ตัวแทนของความรัก และความซื่อสัตย์ตลอดชีวิต สัตว์ป่าที่มีความสำคัญกับระบบนิเวศ และเป็นสายพันธุ์ สำหรับการชี้วัด ความสมดุลของธรรมชาติ ทั้งยังเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของไทย มีอัตราเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ จึงควรตระหนัก ถึงการอนุรักษ์ไว้อย่างเข้มงวด