ค้างคาวแวมไพร์ สัตว์ป่าชนิดหนึ่ง ที่เมื่อได้ยินชื่อ หลายคนต้องขยาดไปตามกัน เพราะพวกมัน กินเลือดเป็นอาหาร และเราอาจจะจินตนาการไปถึง แวมไพร์ดูดเลือด มีเขี้ยวยาว เจาะเข้าลำคอ พวกมันเป็นแค่สัตว์ตัวเล็ก ๆ จะสามารถทำแบบนั้นได้หรือไม่ และ มีพฤติกรรมตามธรรมชาติอย่างไร
ค้างคาวแวมไพร์ (Vampire Bat) หรือเรียกว่า ค้างคาวดูดเลือด ค้างคาวจมูกใบโลกใหม่ อยู่ในวงศ์ย่อยของ Desmodontinae พบมากในทวีปอเมริกากลาง และ ทวีปอเมริกาใต้ โดยประกอบด้วย 3 สายพันธุ์ ที่เป็นชนิดกินเลือดสัตว์ คือ ค้างคาวแวมไพร์ธรรมดา ค้างคาวแวมไพร์ขามีขน และ ค้างคาวแวมไพร์ปีกขาว [1]
ลักษณะของค้างคาวดูดเลือด เป็นค้างคาวขนาดเล็ก มีฟันหน้าเล็กกว่า ฟันของค้างคาวทั่วไป มีเขี้ยวแหลม มีขาหน้าแข็งแรง สำหรับการกระโดด และ ปีกที่มีพลังมากกว่าขา สำหรับการบินอย่างอิสระ ความกว้างราว 18 เซนติเมตร โดยเป็นสัตว์ที่สามารถ ใช้รังสีอินฟราเรด เพื่อระบุตำแหน่งความร้อน ของเลือดสัตว์ได้อย่างดี
วิวัฒนาการของสัตว์ ตระกูลค้างคาว เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพียงชนิดเดียว ที่กินเลือดเท่านั้น จัดอยู่ในฐานะนักล่าขนาดเล็ก โดยมีการพัฒนามาจาก การกินผลไม้ก่อน ตามมาด้วยปรสิต ภายนอกของสัตว์ จนถึงการกินเลือดสัตว์ ซึ่งถูกแยกสายพันธุ์ มาตั้งแต่ 26 ล้านปีก่อน อาจมีต้นกำเนิดมาจาก สัตว์กินแมลง
จากการศึกษา ของนักวิทยาศาสตร์ ยังค้นพบว่า ค้างคาวมียีนหายไปถึง 2 ชุด ที่เป็นฮอร์โมน ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย โดยหากไม่มีฮอร์โมนนี้ จะส่งผลให้น้ำตาล อยู่ในเลือดนาน และมีปริมาณสูง อีกทั้งค้างคาว ยังหลั่งอินซูลิน ออกมาได้ค่อนข้างน้อย จึงช่วยให้ร่างกาย นำน้ำตาลไปใช้ได้แบบช้า ๆ
แหล่งพักอาศัยส่วนมาก มักเป็นอาณาจักร ที่มีความมืดเกือบสนิท อยู่ในเขตร้อน กึ่งเขตร้อน และ พื้นที่แห้งแล้ง อย่างเช่น ถ้ำ บ่อน้ำเก่า หรือต้นไม้กลวง อยู่รวมกันเป็นฝูง อาจมากถึง 100 ตัว โดยมีการสร้างสายสัมพันธ์ ช่วยเหลือกัน คือการแบ่งปันอาหาร ซึ่งพวกมันสามารถขาดอาหารได้ เพียงแค่ 2 วัน เท่านั้น
อาหารของค้างคาวดูดเลือด ล่าเหยื่อเฉพาะ ตอนกลางคืนมืดสนิท โดยการปล่อยคลื่นเสียง แบบพลังงานต่ำ เลือกกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นหลัก อย่างเช่น หมูป่า (บางครั้งอาจกินเลือดมนุษย์) หรือกินเลือดของนก ซึ่งพวกมันจะใช้เขี้ยว เจาะเข้าผิวหนังจุดที่มีความอุ่น กรีดเป็นแผลเล็ก ๆ พร้อมกับเลียเลือด จากบาดแผลจนเพียงพอ
ค้างคาวแวมไพร์ ตามพื้นเพแล้วมักอาศัย อยู่ในพื้นที่อบอุ่น จัดอยู่ในกลุ่ม สัตว์เขตร้อน อยู่ด้วยกันแบบ เครือข่ายสังคม ทั้งยังสามารถบินได้รวดเร็ว แบบที่อาจคาดไม่ถึง จนขึ้นชื่อว่าเป็น “อสูรแห่งรัตติกาล” ที่สามารถแพร่เชื้อไวรัส ให้กับสัตว์และมนุษย์ ต่างจากความน่ารักของ ค้างคาวขาวฮอนดูรัส เป็นอย่างมาก
วิถีชีวิตตามธรรมชาติ ค้างคาวดูดเลือด สามารถมีชีวิตอยู่ได้ จากการกินเลือดเพียงอย่างเดียว โดยไม่กินอาหารอื่นใดเข้าไปเลย ซึ่งเป็นกระบวนการ ของร่างกายที่น่าทึ่ง เพราะพวกมันมีระบบย่อยอาหารที่ดี ผลจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ พบว่าจุลินทรีย์ ในกระเพาะอาหาร ช่วยจัดการกับเลือด ให้สามารถดำรงชีพได้
โดยทำหน้าที่ในการ มอบสารอาหาร จำเป็นต่อร่างกาย เปลี่ยนเลือดให้เป็นโปรตีน เหมือนแลกกับการอยู่อาศัย ภายในกระเพาะ และสิ่งสำคัญของจุลินทรีย์ ยังทำหน้าที่ในการต้านไวรัส ที่อยู่ในเลือดเป็นจำนวนมาก พวกมันจึงมีวิวัฒนาการ ในการเสาะหาเลือด ของสัตว์โดยเฉพาะ
และอีกปัจจัยสำคัญ คือ น้ำลายของค้างคาว เป็นเอนไซม์ที่มีหน้าที่ ต่อต้านการแข็งตัวของเลือด ส่งผลให้เลือดที่กำลังกินเข้าไป ไม่เกิดการแข็งตัว เพราะเลือดมีส่วนประกอบของน้ำ 80% และ สารอาหารที่เป็นโปรตีน อีกกว่า 93% นอกจากนั้น เลือดยังเต็มไปด้วย เชื้อโรคหลายชนิดอีกด้วย [2]
รู้หรือไม่ หากมนุษย์โดนค้างคาวดูดเลือดกัด จะเป็นอย่างไร? แน่นอนว่าค้างคาวชนิดนี้ เป็นสัตว์กินเลือด ของสัตว์เลือดอุ่นขนาดใหญ่ รวมถึงเลือดมนุษย์ด้วยเช่นกัน หากเราโดนพวกมันกัด แบบไม่ทันรู้ตัว จะส่งผลอันตรายด้วยการเกิด โรคพิษสุนัขบ้า และโรคกลัวน้ำ
อาการจากการโดนกัด จะมีอาการป่วย ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน และหายใจค่อนข้างถี่ จำเป็นต้องได้รับการเข้ารักษา ในโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที แต่หากไม่ไปหาหมอ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยมักเกิดขึ้นกับ ชาวสวนชาวไร่ในชนบท ของประเทศบราซิล พบผู้ล้มป่วยแล้วกว่า 40 ราย
สำหรับประชากร ของค้างคาวแวมไพร์กินเลือด มีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ที่พวกมันสามารถเข้ามาใกล้ กับแหล่งอาศัยของมนุษย์ได้นั้น มาจากสาเหตุของ การตัดไม้ทำลายป่า และที่อยู่อาศัยถูกรุกราน จากการทำลายถ้ำ ทำให้พวกมันต้องอพยพเข้าเมือง แต่ก็ไม่มีสัตว์ใหญ่ ที่เป็นแหล่งอาหารมากพอ [3]
ค้างคาวแวมไพร์ ค้างคาวดูดเลือด แหล่งกำเนิดและหากิน ในทวีปอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียว ที่กินเลือดเป็นอาหาร มีระบบย่อยอาหารที่ดีต่อร่างกาย ช่วยต่อต้านไวรัส จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แค่การกินเลือดอย่างเดียว พบประชากรจำนวนมาก อยู่ในถ้ำ หรือสถานที่มืดเกือบสนิท