แมงป่อง หนึ่งในสัตว์อันตรายที่อยู่รอบตัวเรา พบเห็นได้ง่ายตามบ้านเรือน ถึงแม้จะมีขนาดตัวเล็ก แต่พิษสงค่อนข้างร้ายแรง สามารถทำคนเสียชีวิต ได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็น่าโล่งใจ ที่แมงป่องสายพันธุ์มีพิษ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งพวกมันมีพิษสำหรับล่าเหยื่อ และการป้องกันตัวเองชั้นยอด
แมงป่อง (Scorpion) สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จำพวกสัตว์ขาปล้อง ในชั้นของ Arachnida สามารถพบได้ทุกทวีปทั่วโลก ยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา โดยมีสายพันธุ์มากกว่า 2,500 สายพันธุ์ พบซากบรรพบุรุษถือกำเนิด มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ประมาณ 440 ล้านปี ที่มีลำตัวใหญ่ และยาวมากกว่า 90 เซนติเมตร [1]
ลักษณะทางกายภาพของแมงป่อง ส่วนมากมีขนาดเล็ก ลำตัวเป็นปล้องสีดำ สีน้ำตาลแดง หรือสีน้ำตาลเหลือง มีส่วนหัวกับอกติดกัน ประกอบด้วย 8 ขา โดยความยาวของลำตัว ประมาณ 2 – 10 เซนติเมตร ท้องยาวออกเป็นหาง สำหรับใช้ต่อย มีความยาวหางเฉลี่ย 3 – 9 เซนติเมตร
การดำรงชีวิตตามธรรมชาติ แมงป่อง ไม่ชอบแสงสว่าง และอยู่ในพื้นที่มีอุณหภูมิ 11 – 40 องศาเซลเซียส แต่สามารถอยู่รอดได้ ในอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง มากถึง -50 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงในทะเลทราย มากกว่า 45 – 50 องศาเซลเซียส ซึ่งมีการปรับตัวหลายด้าน ให้เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี
การล่าอาหารของแมงป่อง เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืน ตามโพรงไม้ และรอยแตกร้าวของหิน ส่วนช่วงเวลากลางวัน จะหากินตามเปลือกไม้เป็นหลัก ซึ่งพวกมันใช้ปาก ขา และกรงเล็บ สำหรับขุดหาอาหาร กินสัตว์ขนาดเล็ก อย่างเช่น แมงมุม หนอน กิ้งกือ ตะขาบ และแมลงหลายชนิด โดยเน้นกินเหยื่อที่ยังมีชีวิตอยู่
ในประเทศไทย สามารถพบเห็นแมงป่องได้ 11 ชนิด โดยส่วนมากเป็น แมงป่องช้าง (มีพิษอ่อน สามารถนำมาบริโภคได้) แมงป่องเปลือกไม้ (มีพิษอ่อนมาก และต่อยคนไม่เข้า) และ แมงป่องบ้าน (มีพิษรุนแรงมากที่สุดในไทย แต่ไม่เสียชีวิต) นอกจากนี้ยังมีอีกกว่า 100 ชนิด อาศัยอยู่ในป่า พบเจอค่อนข้างยาก
ร่างกายของแมงป่อง ถูกปกคลุมไปด้วยเส้นขนเล็ก ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณปล้องพิษ ทำหน้าที่ในการรับรู้การเคลื่อนไหว ภายในอากาศรอบตัว พวกมันจึงค่อนข้างไวต่อเสียง มักชูหางพิษขึ้นมาทันที และสามารถฉีดพิษ โดยการต่อยเข้าผิวหนังได้อย่างแม่นยำ และจัดอยู่ในประเภท สัตว์มีพิษ
พิษแมงป่องชนิด Neurotoxin ประกอบด้วยโปรตีน และเอนไซม์ มีผลต่อระบบประสาท แต่จะมีเพียงส่วนน้อยที่ส่งผลต่อระบบเลือด ทั้งยังไม่สามารถทำให้คนเสียชีวิตได้ แต่ก็จะมีชนิดที่ร้ายแรง พบมากในอเมริกา แอฟริกา และเม็กซิโก เคยถูกบันทึกการโดนต่อยกว่า 5,000 คน ถึงแก่ชีวิตภายใน 6 – 7 ชั่วโมง
วิธีแยกแมงป่องชนิดมีพิษรุนแรง และชนิดมีพิษอ่อน โดยสังเกตง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
ที่มา: Kingdom Animalia (invertebrates) Species3แมงป่อง [2]
จากพิษสงที่ค่อนข้างรุนแรง ในช่วงหลายปีผ่านมา หลายประเทศนิยม เพาะเลี้ยงแมงป่อง สำหรับการสกัดพิษเพื่อการค้าขาย ทั้งยังให้ราคาสูงมาก จึงมีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้แมงป่อง เสี่ยงต่อการเป็นสัตว์สูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทั้งจากการทำลายระบบนิเวศ และผลกระทบทางอ้อม ของการล่าสัตว์
โดยสถาบันวิจัยด้านพิษ แมงป่อง เปิดเผยว่าพิษที่ถูกสกัดออกมา เป็นประจำทุกวัน อาจไม่ตรงตามความต้องการ และเสี่ยงต่อชีวิตของผู้ซื้อ ซึ่งสายพันธุ์แมงป่อง ที่มีมากกว่า 2,500 ชนิด มีเพียงแค่ประมาณ 50 ชนิด ที่พิษสามารถฆ่าคนได้เท่านั้น และสามารถสกัดพิษ มาได้เพียง 1 – 2 มิลลิกรัม / ครั้ง
สำหรับคุณประโยชน์ ถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ ช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง และเป็นยารักษาโรคอัมพาต ซึ่งพิษของแมงป่องเดธสตอลเกอร์ (Death Stalker) เป็นชนิดที่พิษรุนแรง และโจมตีเร็วมากที่สุด เหมือนกับโดนแส้ฟาด 130 เซนติเมตร / วินาที โดยมีมูลค่าของพิษ ราคาขายสูงถึง 39 ล้านเหรียญสหรัฐ / แกลลอน [3]
แมงป่อง สัตว์ขาปล้องขนาดเล็ก ประเภทมีพิษ พบเห็นทั่วไปตามซอกไม้ หรือรอยแตกของหิน กระจายสายพันธุ์มากมาย อยู่ในทุกสภาพแวดล้อมทั่วโลก มีทั้งชนิดมีพิษอ่อน และพิษแรงถึงแก่ชีวิต นอกจากนั้นพิษแมงป่องยังมีประโยชน์รักษาโรค สำหรับทางการแพทย์อีกด้วย